วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ตารางกิจกรรมเดือนสิงหาคม 2552


คลิ้ก! เพื่อขยายดูภาพใหญ่

1 ความคิดเห็น:

แม่นิด กล่าวว่า...

เรียน ผู้ที่เกี่ยวข้อง

ดิฉันเป็นแม่ของสมาชิกคนนึงในมูลนิธิปัทมะเสวี ครอบครัวของเราเป็นครอบครัวที่รักการอ่านมาก เป็นสมาชิกห้องสมุดประชาชน ที่ตั้งเยื้องกับสวนสาธารณะเขลางค์ ห้องสมุดประชาชนในวัดปงสนุกใต้ ห้องสมุดประชาชนในวัดป่ารวก และห้องสมุดในโรงพยาบาลศูนย์ลำปาง

ครอบครัวเราเข้าใจกฎของการยืม คืน หนังสือเป็นอย่างดี และไม่เคยโดนปรับเพราะการคืนหนังสือช้าเลย เพราะเราเข้าใจในกฎ ถ้ายังอ่านไม่เสร็จ ยังไงก็ต้องไปคืน เพื่อยืมซ้ำ

ดิฉันได้พาลูกไปยืมหนังสือที่มูลนิธิฯ ก่อนหน้าวันที่ 1 สิงหาคม 2552 จำวันที่ไม่ได้แน่นอน แต่คิดว่าประมาณไม่เกิน 1 อาทิตย์แน่นอน และเมื่อก่อนครบกำหนดก็นำไปคืน (จำได้ว่ายืมหนังสือวันเสาร์ หรือวันอาทิตย์นี่ล่ะค่ะ) ครั้งแรกที่นำหนังสือไปนั้นเป็นวันพฤหัสบดี เวลาประมาณบ่ายสอง มูลนิธิปิด มีใบแจ้งขนาดเอ 4 ว่าจะไปออกงานพิพิธภัณฑ์เคลื่อนที่ ณ สวนสาธารณะห้าแยก

ดิฉันก็นำหนังสือตามมาที่สวนสาธารณะ ไม่เห็นพบเจ้าหน้าที่เลยซักคน ไปสอบถามเจ้าหน้าที่ ที่ประจำหน้ารถโมบายเพื่อเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์สยาม ก็บอกแต่ว่า ไม่ทราบ ไม่เกี่ยวกัน เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ จัดบอร์ดอย่างเดียว ปกติไม่เห็นมีใครมา ที่ดิฉันติดใจคือ เจ้าหน้าที่จะแปะป้ายบอกทำไม ว่าไปอีกที่นึงนะ เหมือนกับว่า ถ้ามีธุระให้ตามไปได้ แต่ไปแล้วไม่เจอ ดิฉันไม่ได้เข้าใจว่าไปคืนหนังสือที่สวนสาธารณะนะคะ ดิฉันหมายถึง จะตามไปดูผลงานว่ามูลนิธิฯ มีอะไรมานำเสนอที่น่าสนใจบ้าง แล้วตอนเย็นๆจะพาลูกไปดู

วันรุ่งขึ้นตอนเช้า ดิฉันก็นำหนังสือไปคืนอีกวัน ก็ปิดอีกแล้ว เวลาประมาณ 9 โมงเช้าได้ทีนี้ดิฉันเลยโทรหาเบอร์สำนักงานที่มีอยู่บนป้ายไฟ ก็ไม่มีใครรับ ดิฉันกด 0 แล้วเพื่ออยากคุยกับเจ้าหน้าที่ ก็เป็นอันกลับบ้านไปอีกวัน

หลังจากนั้นดิฉันก็ไปอีก 2 ครั้งในวันธรรมดา เวลาประมาณ 9-10 โมงเช้า หลังไปส่งลูกที่โรงเรียน ก็ไม่เจอใครอีก จากนั้นทิ้งมาประมาณอีก 1 สัปดาห์ดิฉันนำหนังสือไปอีกเป็นครั้งที่ 5 คราวนี้เอาลูกไปด้วย ดิฉันรอด้านนอก ลูกวิ่งกระหืดกระหอบมาว่า "แม่ค่าปรับ 80" ดิฉันรู้สึกงง ไม่เข้าใจ จึงเข้าไปถามว่าทำไมต้องจ่าย แล้วก็อธิบายเรื่องราวทุกอย่าง

น้องเจ้าหน้าที่ผู้หญิงที่ทำหน้าที่ประจำเคาน์เตอร์ ณ วันนั้น ไม่น่ารักมากๆ แกไม่ได้พูดจาหยาบคายใดๆกับดิฉันเลย แต่แกพยายามพูดให้ดิฉันรู้สึกผิดว่า "ทำไมพี่ไม่พยายามโทรมาล่ะคะ" "ทำไมพี่ไม่กดหมายเลขภายในล่ะคะ" แล้วสรุปคือ แกไม่ได้ปรับค่าล่าช้าหนังสือแต่อย่างใด แต่ดิฉันไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเลย ขอบอกตามตรง ตรงกันข้ามดิฉันรู้สึกว่า น้องคนนี้ไม่เหมาะเลยที่จะมาทำงานกับมูลนิธิฯ ที่มีเจตนาดีๆแบบนี้ คนที่จะทำงานอย่างนี้ได้ น่าจะเป็นคนเปิดใจ ยอมรับฟังทุกเรื่องที่เกิด ถอยคนละก้าว มุ่งหวังแก้ไขปัญหาในทางบวกสำหรับทุกฝ่าย

ดิฉันไม่ใช่เด็กๆเพียงเพื่อตัดความรำคาญที่มีต่อดิฉันแล้วมาบอกว่าไม่ต้องจ่ายก็ได้ แล้วดิฉันจะพอใจ สบายใจ จริงๆถึงค่าปรับซัก 2 บาทดิฉันก็จะคิดว่า ทำไมดิฉันต้องจ่าย เพราะไม่ใช่ความผิดของเราเลย แต่ถ้ามูลนิธิฯ มีกล่องรับบริจาคหนังสือ กล่องรับเงิน ดิฉันจะไม่ลังเลในการขวนขวายบริจาคเลย

ดิฉันคิดอยู่นานเป็นเดือนที่จะเขียนอีเมล์ฉบับนี้ขึ้นมา ไม่อยากให้เรื่องเล็กๆแล้วหายไป เหมือนคลื่นกระทบฝั่ง ไม่อยากให้ตกเป็นกรณีศึกษาของคุณแม่งี่เง่า ขี้เหนียว แค่ค่าปรับ 80 บาทมาโวยวาย เพราะดิฉันคิดว่าดิฉันมีสิทธิ์ที่จะรักษาสิทธิ์ของตัวเอง เมื่อดิฉันคิดว่าไม่ถูกต้อง มันยังไงก็ไม่ถูกต้องอยู่นั่นเอง

จากเหตุการณ์ครั้งนี้ ทำให้ดิฉันไม่คิดที่จะเข้าไปมูลนิธิฯอีกเลย แม้ว่าจะไปกาดกองต้าทุกเสาร์ อาทิตย์ก็ตาม เจตนาที่เคยเอ็นดูเวลาเห็นผลงานเด็กๆระบายสีหินเป็นแมลง แล้วมาคิดกับพ่อบ้านว่า เราจะลองไปเสนอเป็นวิทยากรสอนภาษาอังกฤษฟรีให้เค้าดีมั้ย เผื่อได้ออกท้องที่ ไปโรงเรียนรอบนอกในวันหยุด จะได้บุญ ได้อิ่มใจกัน ดิฉันไม่คิดจะทำแล้ว คนที่มักตำหนิคนอื่นโดยไม่ดูเจตนา ดิฉันจัดว่าเป็นคนที่ไม่น่าคบ และถ้าคนไม่น่าคบอยู่ในสถานที่ดีเพียงใด ดิฉันก็ขออคติ ไม่ขอเข้าไปอีกครั้ง เท่านั้นเอง

หวังว่าจดหมายฉบับนี้น่าจะถึงมือ ผู้ที่เกี่ยวข้อง